วันจันทร์ที่ 27 พฤษภาคม พ.ศ. 2562

รีวิว สร้างบ้านแบบงบน้อย แค่ 2 แสน ก็มีบ้านสวยน่าอยู่ได้

ความฝันของใครหลายๆคน ก็คงไม่พ้นการมีบ้าน สร้างบ้านสวยๆเป็นของตนเองสักหลังหนึ่ง ยิ่งในปัจจุบัน แบบบ้านสวยๆมีมากขึ้น บ้านสวยๆก็ผุดขึ้นตามๆกัน แต่ในการสร้างบ้านต้องใช้งบประมาณสูง บางคนจึงต้องจำกัดงบตามกำลังทรัพย์
วันนี้เราก็มีรีวิวดีๆ จากผู้ใช้เฟซบุ๊กชื่อ Praew Sirima ได้รีวิวการสร้างบ้านแบบประหยัดงบ ใช้งบแค่ 220,000 บาท ก็ได้บ้านสวยงามน่าอยู่ โดยเจ้าของภาพได้ระบุว่า

“ขออนุญาตค่ะ บ้านงบน้อย 220,000.- 1 ห้องนอน 1 ห้องน้ำ โถงน้อยๆ 1 พอเพียงทำความสะอาดง่ายดีค่ะ กำลังจะต่อครัวเพิ่ม”

บ้านสวย

ขนาดกำลังดี

งบสองแสน


น่าอยู่มาก

ใครจะคิดว่างบแค่สองแสนบาท จะได้บ้านสวยหรูสไตล์คลาสสิค ที่ดูทันสมัยแถมยังไม่เล็กเกินไปอีกด้วย คงเป็นรีวิวให้สำหรับคนที่ต้องการสร้างบ้านแบบประหยัดงบได้เป็นอย่างดีเลยล่ะค่ะ
เรียบเรียงเนื้อหาโดย : kaijeaw.in.th, ขอขอบคุณที่มาจาก : Praew Sirima

เตาแกลบใช้แทนเตาแก็ส ประหยัดค่าใช้จ่ายอย่าลืมนำไปทดลองทำกันได้นะคะ

ปัจจุบันนี้ ด้วยราคาเครื่องใช้ไฟฟ้า และเครื่องใช้ต่างๆที่อำนวยความสะดวกภายในบ้านมีราคาที่แพงขึ้นในทุกๆวัน และผู้คนก็ติดความสะดวกสบายกันมานาน เพราะมีเครื่องใช้ไฟฟ้าช่วยในการทำงานบ้าน ทำอาหารด้วยแก๊ส แต่รู้ไหมว่า ถ้าเรารู้จักหาแนวคิดในการช่วยลดค่าใช้จ่ายในบ้าน สามารถทำให้ประหยัดค่าใช้จ่ายต่างๆได้เยอะ อย่างเช่น ใช้เตาที่ทำเองแทนการใช้แก๊ส ลดค่าแก๊สในแต่ละเดือนได้มากเลยทีเดียว และวันนี้เราก็มีไอเดียดีๆมฝากกัน ไปดูกันเลยดีกว่าค่ะ
อุปกรณ์ที่ต้องจัดเตรียม
ฟิน (ตัดให้เป็นชิ้นเล็กหน่อย จะได้ติดไฟได้ง่าย)
ปี๊บ ( แนะนำให้เอาปี๊บเหลือใช้ในบ้าน )
ฐานรองสำหรับวางหม้อหรือกระทะ (สามารถหาซื้อตามตลาดในราคา 50 บาท)
ท่อ PVC หรือเลือกใช้เป็นไม้ไผ่แทนก็ได้ เพื่อช่วยประดับงบ
แกลบ (เอามาจากที่เหลือจากการสีข้าว)
ขั้นตอนวิธีการทำเตาไฟความร้อนสูง
ขั้นตอนที่ 1 ทำการเจาะฐานปี๊บ ให้เป็นรูเท่ากับขนาดท่อ PVC ที่ได้เตรียมไว้
ขั้นตอนที่ 2 จากนั้นนำท่อ PVC ไปใส่ตรงกลางปี๊บ แล้วก็เทแกลบตามลงไปจนเต็มปี๊บ
ขั้นตอนที่ 3 แล้วทำการกดอัดแกลบให้แน่นที่สุด (ยิ่งแน่นเท่าไร ยิ่งมีประสิทธิภาพดี เพราะความร้อนที่ได้รับ จะยิ่งสูงขึ้นตามความหนาแน่นของแกลบ)
ขั้นตอนที่ 4 ต่อมาก็นำท่อ PVC ออก ( ให้ค่อยๆหมุน แล้วบิดไปทางซ้ายขวา เพื่อไม่ให้แกลบ ที่ได้อัดไว้ในขั้นตอนที่ 3 นั้นเสียรูป) พอเอาออกได้แล้ว จะเห็นได้ว่าในปี๊บนั้น แกลบจะมีปล่องตรงกลางไว้สำหรับเป็นช่องทางให้อากาศผ่าน และช่วยให้การเผาไหม้นั้นดีขึ้นอีกด้วย)
ขั้นตอนที่ 5 จากนั้นให้นำหินมาวางไว้เป็นฐานรองปี๊บ เพื่อเป็นการยกให้ฐานปี๊บสูงกว่าเดิม ให้เป็นช่องทางลมสามารถให้อากาศผ่านด้านล่างได้ดี
ขั้นตอนที่ 6 แล้วทำการจุดไฟ โดยการใช้เศษกระดาษ และด้วยที่แกลบเป็นวัสดุที่ติดไฟได้ง่าย ทำให้เรามองเห็นเปลวไฟพุ่งขึ้นมาทางปล่องตรงกลางปี๊บได้อย่างรวดเร็ว
ขั้นตอนที่ 7 จากนั้นนำฐานรองหม้อที่ได้จัดเตรียมเอาไว้มาวางรอง แล้วค่อยๆเติมเศษไม้ที่ได้เตรียมไว้ใส่เข้าไปเรื่อยๆ เพื่อให้ไฟติดและแรงขึ้น
เป็นไงบ้างคะ กับรูปแบบการทำเตาไฟความร้อนสูง จากแบบทดลองจริงกันไปแล้ว สามารถทำให้เราประหยัดค่าแก๊สไปเยอะเลยทีเดียว และยังทำเวลาได้รวดเร็วมากกว่าแก๊สอีกด้วย สำหรับในการทำอาหาร หรือทำอย่างอื่น หากใครที่สนใจ อย่าลืมนำไปทดลองทำกันได้นะคะ
ขอบคุณข้อมูล : Sivakorn Channel
ขอบคุณบทความดีๆจาก http://news-amazing.com

เตือนภัยใกล้ตัว ปล่อยลูกดูทีวี-มือถือ นานเกิน สุดท้ายป่วยหนัก ตาอักเสบรุนแรง


พ่อโพสต์เตือน ปล่อยลูกดูทีวี-มือถือ นานเกิน สุดท้ายป่วยหนัก ตาอักเสบรุนแรง
วันที่ 27 ก.พ. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ผู้ใช้เฟซบุ๊กรายหนึ่งโพสต์ ลงกลุ่ม HerKid รวมพลคนเห่อลูก โดยเป็นภาพของลูกชาย ที่ป่วยด้วยอาการตาอักเสบ ต้องปิดผ้าก๊อซที่ดวงตาทั้ง 2 ข้าง โดยคุณหมอให้นอนค้างที่โรงพยาบาล เพื่อสังเกตุอาการ

โดยผู้โพสต์ระบุด้วยว่า ฝากเตือนแม่ๆที่ปล่อยลูกดู ทีวี มือถือ เป็นเวลานานๆด้วย ปกติจะไม่ค่อยให้ลูกดูแต่วันนั้น พ่อก็ไม่สบายแม่ต้องเอาน้อง ปล่อยให้ดูทั้งวัน ผลที่ได้ตาอักเสบรุนแรง อันตรายมากๆ จนหมอต้องสั่งนอนดูอาการ

ทั้งนี้เมื่อโพสต์ดังกล่าวถูกเผยออกไป ต่างมีคนแชร์ต่อออกไปจำนวนมาก และมีคนเข้ามาแสดงความคิดเห็นถึงความอันตรายของแสงจากโทรศัพท์และทีวีมากมาย


ขอยคุณบทความดีจาก https://www.khaosod.co.th/monitor-news/news_2256854 

เกษตรน่าสน ‘มะพร้าวจิ๋ว’ ลูกเล็กจิ๋วแต่หวานมัน ประเทศไทยก็ปลูกได้

ผลไม้บนโลกใบนี้มีมากมายหลายชนิด มีทั้งผลไม้ไทย ผลไม้พื้นเมือง และผลไม้จากต่างประเทศ ซึ่งมีให้เห็น ให้เลือกซื้อรับประทาน บางชนิดก็หาง่าย บางชนิดก็หายาก ตามการปลูกที่มากน้อยแตกต่างกัน และตามความชอบภูมิอากาศของไม้แต่ละชนิด
วันนี้เราก็มีพืชแปลกๆน่าสนใจมาฝากกันอีกแล้วค่ะ กับมะพร้าวจิ๋ว ผลไม้พื้นเมืองของชิลี ลูกขนาดเล็กจิ๋วแต่มีรสชาติหวานมัน โดยเฟซบุ๊กเพจ เห็ดป่า สร้างอาชีพและบูรณาการความรู้ ได้ออกมาเผยภาพ พร้อมระบุว่า

“มะพร้าวจิ๋ว หรือ Coquito Nuts เป็นมะพร้าวขนาดเล็กมาก น่าสนใจครับ เป็นต้นไม้ดั้งเดิมของประเทศชิลี รสชาติหวานมันเหมือนมะพร้าว นินยมนำมาทำขนมหวาน และอีกหลายเมนู บ้านเราปลูกได้นะครับ ขอบคุณเจ้าของภาพดีๆด้วยนะครับ”

มะพร้าวจิ๋ว

ขนาดเล็ก

น่ารัก

ผลสด
เห็นภาพแล้วหลายคนคงคิดว่าเป็นของเล่นตุ๊กตาเสียอีก น่ารักน่ารับประทาน แถมยังปลูกในประเทศไทยได้ ก็น่าสนใจสำหรับเกษตรกรเลยทีเดียวค่ะ
เรียบเรียงเนื้อหาโดย : kaijeaw.in.th, ขอขอบคุณที่มาจาก : Saksith Suriyagamon

มหัศจรรย์ น้ำมันกัญชาฆ่ามะเร็ง อดีตครูป่วยระยะ 4 ฟื้นขึ้นเดินได้

เป็นไปได้ อดีตครูที่อุบลราชธานี ป่วยเป็นมะเร็งต่อมน้ำเหลืองระยะสุดท้าย หลังรักษามานานร่วม 11 ปี จนร่างกายไม่ตอบสนองเคมีบำบัด กลับมาบ้าน ใช้น้ำมันกัญชาหยอด จากเจียนตาย ลุกเดินกินข้าวกินน้ำได้เหมือนปกติ
จากที่มีการแชร์ภาพในโลกโซเชียล มีหญิงสูงอายุรายหนึ่ง ป่วยเป็นโรคมะเร็งนานกว่า 11 ปี กระทั่งเมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา ครอบครัวหมดหนทางรักษา เพราะแพทย์ระบุว่าร่างกายผู้ป่วยที่รับการรักษาด้วยเคมีบำบัดไม่ตอบสนองต่อการรักษาแล้ว สามีจึงนำภรรยามารักษาด้วยน้ำมันกัญชาในช่วงเทศกาลสงกรานต์ แต่ถึงวันนี้จากสภาพที่ใกล้ตาย แต่กลับมีอาการดีขึ้นอย่างมหัศจรรย์นั้น
เรื่องนี้ วันที่ 14 พ.ค. ผู้สื่อข่าวจังหวัดอุบลราชธานี ได้เข้าพิสูจน์ความจริงกับนางละม้าย ชาวชายโขง อายุ 65 ปี ข้าราชการครูบำนาญ พักอาศัยอยู่ในบ้านไผ่ใหญ่ ต.ไผ่ใหญ่ อ.ม่วงสามสิบ จ.อุบลราชธานี โดยนางละม้าย และนายวิเชียร สองสามีภรรยาเล่าให้ฟังว่า เริ่มมีอาการป่วยไม่ทราบสาเหตุเมื่อปี 2552 ได้เดินทางเข้ารับการตรวจที่โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ ซึ่งขณะนั้นแพทย์สงสัยจากป่วยเป็นไทรอยด์ หรือทอนซิล เพราะมีอาการเหนื่อยและรู้สึกผิดปกติบริเวณลำคอ แต่เมื่อแพทย์นำชิ้นเนื้อไปตรวจก็ไม่พบสิ่งผิดปกติ แต่ยังมีอาการป่วย ลูกที่ทำงานอยู่ที่กรุงเทพฯ จึงพาไปตรวจรักษาที่โรงพยาบาลรัฐแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ เมื่อปี 2553
กระทั่งทราบว่า นางละม้ายป่วยเป็นมะเร็งต่อมน้ำเหลืองบริเวณลำคอด้านซ้าย แพทย์จึงส่งไปให้แพทย์เฉพาะทางช่วยรักษา โดยทำการผ่าตัดเอาชิ้นเนื้อร้ายออก พร้อมทำการรักษาด้วยเคมีบำบัดควบคู่กันไป



นางละม้าย ซึ่งเป็นครูสอนโรงเรียนประถมในอำเภอม่วงสามสิบ จึงได้เออรี่ออกจากราชการมารักษาตัว เพราะต้องไปพบแพทย์ตามที่นัดทุกครั้ง ปรากฏปี 2557 กลับมีอาการป่วยเป็นมะเร็งต่อมน้ำเหลืองอีก และอาการป่วยเริ่มลามไปยังบริเวณไหล่ แพทย์วินิจฉัยป่วยจากเชื้อมะเร็งอีกชนิดหนึ่ง จึงต้องรับเคมีบำบัดและเข้ารับการตรวจรักษาต่อเนื่องจนถึงปี 2559
ต่อมาในปี 2561 พบว่าอาการป่วยของนางละม้ายได้ลุกลามเพิ่มขึ้นจากการป่วยเป็นมะเร็งระยะที่ 2 และ 3 กลายเป็นป่วยเป็นมะเร็งระยะสุดท้ายในขั้นที่ 4 เพราะเชื้อได้ลามเข้าไปในทรวงอกและบริเวณหน้าท้อง ต้องเข้ารับเคมีบำบัดเป็นระยะตามแพทย์สั่ง
กระทั่งต้นเดือนเมษายน 2562 แพทย์ที่ให้การรักษาระบุว่า ร่างกายของผู้ป่วยไม่ตอบสนองต่อการรักษาด้วยการทำคีโมแล้ว พร้อมส่งตัวให้ไปทำการรักษาด้วยการฉายแสง แต่ปรากฏระหว่างนั้นสภาพร่างกายผู้ป่วยเริ่มทรุดอย่างหนัก และมีเกล็ดเลือดต่ำ แพทย์จึงนัดให้มาทำการฉายแสงในเดือนมิถุนายนที่จะถึง นางละม้าย จึงบอกกับนายวิเชียร ชาวชายโขง สามีให้นำตนเองกลับมาตายที่บ้าน เพราะมีอาการหนัก มีไข้สูง กินน้ำและอาหารไม่ได้เลย
นายวิเชียร จึงตัดสินใจโทรศัพท์สอบถามคนรู้จักที่เคยแนะนำให้ลองนำน้ำมันกัญชาสกัดใช้รักษามะเร็ง เพราะเป็นหนทางสุดท้ายที่จะช่วยภรรยาของตนเอาไว้ได้ เมื่อได้รับน้ำมันกัญชาสกัดมาจากเพื่อน และกำลังนำภรรยาขึ้นรถกลับบ้านเมื่อวันที่ 12 เมษายนที่ผ่านมา ระหว่างทางได้หยอดน้ำมันกัญชาให้ภรรยาอมไว้ใต้ลิ้น เมื่อกลับมาถึงบ้านปรากฏอาการไข้ของนางละม้ายที่มีไข้สูง 35 องศาเซลเซียส ติดต่อกันมา 8-9 วัน ได้หายไป รวมทั้งนางละม้ายมีสีหน้าดีขึ้น ไม่มีอาการเจ็บปวดทุรนทุรายเหมือนช่วงที่ยังอยู่กรุงเทพฯ
ตั้งแต่นั้นมา ก็ได้ให้น้ำมันกัญชาให้นางละม้ายอมไว้ใต้ลิ้น รวมทั้งนำน้ำมันมาทาบริเวณแผลติดต่อกันราว 2 สัปดาห์ อาการปวดบวมจากแผลของมะเร็งที่แตกและลุกลามจากลำคอฝั่งหนึ่งไปฝั่งหนึ่ง และยังลามไปบริเวณทรวงอก ก็ลดลงอย่างน่ามหัศจรรย์ ซึ่งขณะนั้นใช้นำมันกัญชาไปได้ราว 15 ซีซี จึงขอน้ำมันกัญชาจากเพื่อนมาใช้รักษาเพิ่ม



จนถึงวันนี้ ใช้น้ำมันกัญชาไปแล้วเกือบ 30 ซีซี ปรากฏนางละม้ายภรรยา ซึ่งเมื่อกลางเดือนเมษายนยังมีอาการทรุดหนัก และเพื่อนบ้านที่มาเยี่ยมทุกคนต่างบอกว่าคงอยู่ได้อีกไม่นาน สามารถลุกขึ้นมากินข้าวกินน้ำได้ตามปกติ แผลที่เคยปวดบวมบริเวณลำคอและลามไปถึงหน้าอก ก็ยุบหายไปทั้งหมด โดยวันนี้ นางละม้ายสามารถเดินออกไปเก็บเห็ดจากป่าในหมู่บ้านเพื่อนำมาทำกินได้แล้ว
ส่วนน้ำมันกัญชาที่เหลือ ยังจะนำมาใช้รักษาอาการต่อไป จนกว่าจะครบ 90 วัน ตามที่ได้รับคำแนะนำคือ ให้ใช้น้ำมันกัญชารักษาโรคนี้ราว 60 ซีซี ใน 90 วัน เมื่อถึงเดือนมิถุนายนก็จะเดินทางไปพบแพทย์ที่โรงพยาบาลที่นัดดูอาการ เพื่อให้ตรวจดูเกล็ดเลือด แต่คงไม่ฉายแสงตามที่เคยได้รับคำแนะนำแล้ว เพราะเชื่อว่า การใช้น้ำมันกัญชาสามารถหายป่วยจากโรคนี้ได้
ด้านนางละม้ายกล่าวว่า ตลอดช่วง 11 ปีที่ผ่านมา ครอบครัวต้องใช้เงินรักษาอาการป่วยของตนไปจำนวนหลายล้านบาท ขณะที่ป่วยหนักในระยะสุดท้าย ไม่รู้สึกกลัวที่จะต้องตาย คิดเพียงอยากมีโอกาสหายและกลับมาบวชชีอีกสักครั้งเท่านั้น และอยากรู้ว่าการตายนั้นต้องเจ็บปวดอย่างไรด้วย แต่เมื่อวันนี้ยังมีชีวิตอยู่จึงอยากให้รัฐบาลให้โอกาสคนป่วยได้ใช้น้ำมันกัญชาเป็นทางเลือกอีกทางหนึ่ง เพราะตนใช้อย่างได้ผลมาแล้ว
ขณะที่ นายวิเชียร ที่เป็นสามีระบุว่า ตอนแรกไม่เคยคิดเอาน้ำมันกัญชามารักษาภรรยา เพราะเห็นว่าการรักษาด้วยการผ่าตัดและใช้เคมีบำบัด ก็ช่วยรักษาอาการป่วยได้ แต่ก็ปรากฏเหมือนตัดต้นไม้แต่ยังเหลือราก ตัดออกแล้วแต่ก็กลับมาป่วยได้อีก ตลอดช่วงที่ผ่านมาตนต้องลาออกจากงานบริษัทเอกชนเพื่อมาดูแลภรรยาที่ป่วยกว่า 10 ปี แต่การรักษาก็ไม่ได้หายอย่างเด็ดขาด
"มาวันนี้ อยากเรียกร้องไปยังรัฐบาลให้โอกาสคนป่วยมีทางเลือกในการรักษา อย่าให้คนป่วยต้องตกอยู่ในสภาพไม่มีทางเลือก โดยต้องใช้ยาเคมีที่อาจเป็นธุรกิจของคนบางกลุ่ม แต่คนรับกรรมคือคนที่มีอาการเจ็บป่วย ซึ่งเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาก็ได้ไปขอขึ้นทะเบียนมีกัญชาไว้ในครอบครองเพื่อรักษาอาการป่วยแล้ว ซึ่งก็ไม่คิดว่าจะกลายเป็นข่าว เพราะคนที่รู้จักกันในกลุ่มสอบถามที่นำต้นกัญชามาลูก ก็บอกจะปลูกเพื่อเอาใบสดไปต้มเป็นน้ำชาให้ภรรยากิน นึกไม่ถึงจะมีการนำออกไปแชร์ในเฟซบุ๊กจนเป็นข่าวในขณะนี้"
น.ส.ชลิตตรา สิงห์อ่อน เพื่อนบ้านของนางละม้าย เล่าว่า ทราบอาการป่วยของอาจารย์มานานหลายปี ตอนที่ยังไม่ป่วยหนัก ก็ยังพูดจาได้ กระทั่งเมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา เมื่อนายวิเชียรนำอาจารย์ละม้ายกลับมาที่บ้านใหม่ๆ ได้เข้าไปเยี่ยมดูอาการ ช่วงนั้นนางละม้ายยังพูดไม่ได้ เพราะมีอาการเจ็บบริเวณลำคอ ซึ่งตนก็คิดว่านางละม้ายมีอาการหนักกว่าทุกครั้งที่เห็น แต่เวลาผ่านไปประมาณ 2 สัปดาห์ เห็นนางละม้ายมีอาการดีขึ้นอย่างผิดหูผิดตา จากกินข้าวกินน้ำไม่ได้ ก็กินได้ และต่อมาก็ออกเดินเหินนอกบ้านและพูดคุยได้ จึงสอบถามนายวิเชียร บอกว่าใช้น้ำมันกัญชารักษาอาการป่วย ตนเองก็รู้สึกทึ่งเป็นอย่างมาก ถ้าเป็นอย่างนี้คาดว่าอาจารย์ละม้ายก็คงมีชีวิตอยู่ไปได้อีกนานแน่นอน.
.ขอบคุณบทความดีๆจาก https://www.thairath.co.th/

วันศุกร์ที่ 24 พฤษภาคม พ.ศ. 2562

“ไม้พะยูง” ไม้มีค่าที่แพงที่สุดในโลก และเหลือแค่ที่ประเทศไทยที่เดียว


สงสัยกันมั้ยคะ??? ว่าทำไม “ไม้พะยูง” จึงมีราคาแพง นำไปใช้ทำอะไรได้บ้าง ส่งออกไปประเทศอะไร และมีราคาเท่าไร และเมื่อหาข้อมูลมาแล้วก็พบว่า

“พะยูง” เป็นไม้เนื้อแข็งเช่นเดียวกับไม้สัก ตะเคียน มีชื่อและความหมายดี เชื่อว่าบ้านใดปลูกไว้ประจำบ้าน จะทำให้บุคคลในบ้านมีแต่ความเจริญ มีฐานะดีขึ้น ช่วยไม่ให้ชีวิตตกต่ำ เพราะพยุงคือการประคับประคองให้คงอยู่ ให้มั่นคงหรือการยกให้สูงขึ้น
พะยูงเป็นไม้ยืนต้น สูงประมาณ 15-25 เมตร เปลือกสีเทาเรียบเรือนยอดทรงมักขึ้นอยู่ในป่าดิบแล้ง และป่าเบญจพรรณชื้นทั่วไป

โดยเฉพาะทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือลมหรือรูปไข่ผลัดใบในหน้าแล้งและภาคตะวันออก
ส่วนเนื้อไม้ที่ได้จะมีสีแดงอมม่วงถึงแดงเลือดหมูแก่ เนื้อละเอียดแข็งแรงทนทาน ขัดและชักเงาไ้ด้ดีใช้ทำี เครื่องเรือน เกวียน เครื่องกลึงแกะสลัก ทำเครื่องดนตรี เช่น ซอ ขลุ่ย ลูกระนาด และแม้แต่ ช้อน ส้อม
เวลานี้จึงถือว่าไม้พะยูงเป็นไม้ที่ราคาแพงมากที่สุดในโลกและแพงกว่าไม้สักซึ่งราคาลูกบาศก์เมตรละไม่กี่หมื่นบาทเท่านั้น ส่วนสาเหตุที่ไม้พะยูงมีราคาพุ่งสูงมาก
เนื่องจากมีความนิยมในการใช้ไม้ชนิดนี้ในประเทศจีนอย่างมาก โดยเริ่มจากการนำเข้าไม้ชนิดนี้ไปซ่อมแซมพระราชวังต้องห้าม
ในช่วงการแข่งขันกีฬาโอลิมปิก ในปี 2551 ต่อมาก็มีความนิยมนำไม้พะยูงไปแปรรูปเป็นเฟอร์นิเจอร์ แต่ระยะหลังไม้พะยูงมีราคาพุ่งสูงขึ้นมาก

ทางนายทุนจึงหันมาทำเป็นวัตถุมงคลและของแต่งบ้านชิ้นเล็ก ๆ เช่น ตัวปี่เซียะ เทพเจ้า ฮก ลก ซิ่ว แทน อย่างไรก็ตามในส่วนของคนไทยไม่นิยมใช้ประโยชน์จากไม้พะยูง เพราะมีความเชื่อบางอย่าง
จึงไม่นำไม้พะยูงมาทำเป็นไม้กระดาน เตียงนอน และบันไดบ้าน ใช้เพียงทำรั้วบ้านเท่านั้น สำหรับไม้พะยูงนั้นเป็นไม้เนื้อแข็ง ตระกูลเดียวกับไม้แดง ไม้ประดู่ ที่สำคัญในเวลานี้ไม้พะยูงถือว่าเหลือเฉพาะในประเทศไทยเพียงแห่งเดียวในโลก เพราะประเทศลาวที่เคยมีก็หมดไปแล้ว

จากการหาข้อมูล สามารถเรียบเรียงได้ว่า ไม้พะยูงเป็นไม้ที่มีราคา “แพงที่สุดในโลก” เพราะคุณสมบัติของไม้ที่มีความแข็งแรงทนทานสีสวยและชื่อที่เป็นมงคล ประเทศที่นำเข้าไม้พะยูงสูงที่สุดคือ “ประเทศจีน” นิยมนำไปซ่อมแซมราชวังโบราณ และยังสามารถนำไม้พะยูงไปแกะสลักรูปปั้นเทพเจ้าศักดิ์สิทธิได้อีก รวมไปถึงการแปรรูปเป็นเฟอร์นิเจอร์
     
ปัจจุบันประเทศไทยคือผืนป่าไม้พะยูง “ผืนสุดท้ายของโลก” หลังจากไม้พะยูงในประเทศลาวสูญพันธุ์ไป ทำให้นายทุนไม้พะยูงจากทั่วโลกจับจ้องมาที่ประเทศไทยที่เดียว
ขอบคุุณที่มา : taibann.com

ช่างแอร์รถไม่เคยบอก เผย 8 เทคนิคทำให้รถ แอร์เย็น ไม่เหม็นอับ เหมือนรถใหม่ ด้วยขั้นตอนง่ายๆ แต่ได้ผลเกินคาด


ปัญหาที่ผู้ใช้รถยนต์ต้องเผชิญ และแก้ไม่ตกซักที นั่นก็คือแอร์ไม่เย็นเหมือนตอนที่เพิ่งซื้อมาใหม่ เอาไปซ่อมแล้วกลับมาก็ยังเหมือนเดิม แถมรถยังมีกลิ่นอับ วันนี้เราจึงนำเคล็ดลับดีๆที่จะทำให้รถคุณเย็นฉ่ำเหมือนตอนซื้อมาใหม่ มาฝากกัน วิธีทำให้แอร์รถเย็นฉ่ำ
1. ก่อนสตาร์ทเครื่องยนต์ทุกครั้ง ควรปิดสวิตช์ควบคุมคอมเพรสเซอร์ ( A/C) ก่อน เหตุผลก็เพื่อไม่ให้คอมเพรสเซอร์เป็นตัวฉุดกำลังขณะที่เราสตาร์ทรถยนต์นั่นเอง

2. เริ่มต้นด้วยการใช้ความเร็วพัดลมสูง หลังจากสตาร์ทและวอร์มอัพจนเครื่องยนต์อยู่ในอุณหภูมิที่พร้อมใช้ง่าย อย่าเพิ่มรีบปรับอุณหภูมิ แต่ควรเปิดแอร์โดยใช้ความเร็วพัดลมสูงก่อน ทั้งนี้ก็เพื่อเป็นการไล่ความร้อนในระบบแอร์ให้ออกไป จากนั้นจึงค่อยเปิดสวิตช์ A/C และปรับอุณหภูมิให้เหมาะสมกับที่คุณต้องการ
3. ถ้าอากาศเย็นเกินไปให้ใช้วิธีปรับอุณหภูมิสูงขึ้น แทนการปัดช่องแอร์หนี หากนั่งไปสักพักแล้วรู้สึกว่าอุณหภูมิเย็น
เกินไป อย่ารีบหันช่องแอร์หนีไปจากตัว แต่ให้ใช้วิธีปรับอุณหภูมิให้สูงขึ้นแทน คอมเพรสเซอร์จะได้ไม่ทำงานหนักโดยไม่จำเป็น
4. ปิดก่อนถึงปลายทาง ก่อนจะถึงจุดหมายปลายทางประมาณสัก 5 – 10นาที ให้ปิดสวิตซ์ A/C และเปิดพัดลมไปที่ความเร็วสูงสุดแทน วิธีนี้จะช่วยลดภาระการทำงานของคอมเพรสเซอร์ และไล่ความชื้นออกจากคอล์ยเย็น ซึ่งจะช่วยป้องกันการสะสมของเชื้อแบคทีเรียภายในได้ดี ถ้าทำแบบนี้บ่อยๆ แอร์รถของคุณจะไม่มีกลิ่นเหม็นอับแน่นอน จากนั้นเมื่อถึงที่หมายแล้วจึงค่อยปิดพัดลมก่อนดับเครื่องยนต์

5. ไม่ควรใช้น้ำหอมชนิดที่มีแอลกอฮอล์ ไม่ควรนำน้ำหอมชนิดที่มีแอลกอฮอล์เป็นส่วนประกอบมาเสียบไว้หน้าช่องแอร์ เพราะอาจจะทำให้ตู้แอร์ผุกร่อนเร็วขึ้นกว่าเดิมได้
6. ไล่ความร้อนออกก่อน สำหรับรถที่จอดตากแดดเอาไว้นานๆ หรือรถที่กำลังจะจอดทิ้งไว้นานๆ ควรเปิดลมเปล่าระดับแรงสุดเสียโดยยังไม่เปิดสวิตซ์ A/C ก่อน ประมาณ 5 นาที ขั้นตอนนี้จะช่วยไล่ความร้อนหรือความชื้นที่ค้างอยู่ในระบบแอร์ได้ เมื่อความร้อนหรือความชื้นลดลงแล้ว จึงค่อยเปิดสวิตซ์ A/C ตามมาทีหลัง นอกจากจะช่วยชะลอการเสื่อมของเครื่องได้แล้ว ยังทำให้ตู้แอร์มีกลิ่นเหม็นอับลดน้อยลงได้อีกด้วย

7. ไม่ควรเปิดกระจกบ่อยๆ การเปิดกระจกบ่อยๆ ไม่ได้เพียงแต่นำความร้อนเข้ามาเท่านั้น แต่ยังจะทำให้ฝุ่นละอองจากภายนอกเข้ามาอุดตันในตู้แอร์ได้เร็วมากยิ่งขึ้นอีกด้วย อย่างไรก็ตาม หากจำเป็นต้องเปิดกระจกคนขับรถ ควรปิดช่องแอร์บริเวณคอลโซลหรือจุดที่แอร์ออกให้หมดเสียก่อน เพื่อป้องกันไม่ให้ฝุ่นปลิวเข้าไปในระบบแอร์ วิธีนี้จะช่วยยืดอายุการใช้งานแอร์ให้ยาวนานขึ้นได้อย่างแน่นอน
8. ถ้าแอร์ไม่เย็นอย่าฝืน เมื่อรู้สึกว่าแอร์ไม่เย็น ให้รีบปิดน้ำยาแอร์หรือสวิตซ์ A/C ทันที โดยยังสามารถใช้ลมเปล่าได้อยู่ ทั้งนี้ก็เพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้คอมเพรสเซอร์เสียหายไปก่อน จากนั้นจึงนำรถไปตรวจเช็คความผิดปกติทีหลังการดูแลรักษาระบบแอร์รถยนต์ให้ถูกวิธี สามารถช่วยยืดอายุการใช้งานของระบบทำความเย็นของรถยนต์ของคุณได้อีกนาน อย่ามัวแต่คิดว่าไม่เป็นไร เพราะการสะสมของคำว่าไม่เป็นไรทีละเล็กทีละน้อย ย่อมมีผลให้เกิดความเสียหายขึ้นกับรถยนต์ของคุณได้ในที่สุด
ขอบคุณที่มา : jorkhaoseed.com

วันพฤหัสบดีที่ 16 พฤษภาคม พ.ศ. 2562

มีเงินทุน 500 ก็สร้างอาชีพได้กับ 4 อาชีพเกษตร ทุนเริ่มต้นน้อย เหมาะสำหรับมือใหม่



เงินทุนเริ่มต้น 500 ก็ทำได้กับ 4 อาชีพเกษตร ทุนเริ่มต้นน้อย เหมาะสำหรับมือใหม่ ในสภาพเศรษฐกิจแบบนี้ ทำอะไรก็ยาก ค้าขายก็ลำบาก ยิ่งเกษตรกรที่ต้องมาเจอกับราคาพืชผลตกต่ำจนแทบจะไม่อยากเพาะปลูกอะไร เพราะปลูกไปก็มีแต่ขาดทุน จะลงทุนทำฟาร์มหรือแปลงปลูกใหญ่โตก็ลำบาก ไหนจะต้นทุนที่สูง การจ้างแรงงาน
แต่อย่ากังวลไปสำหรับบทความนี้เราได้นำเอา 4 อาชีพ เริ่มต้นทำเกษตรด้วยทุนน้อย เริ่มต้นแค่หลักร้อยก็สามารถสร้างงานสร้างอาชีพได้



1. เพาะถั่วงอกในขวด

ต้นทุน 490 บาท
– ขวดน้ำพลาสติกเปล่าที่ไม่ได้ใช้แล้ว 0 บาท
– ถั่วเขียว 1 กิโลกรัม 35 บาท ( 14 กิโลกรัม = 490 บาท )



วิธีเพาะ
1. แช่เมล็ดถั่วเขียวในน้ำอุ่น 1 คืน ( แช่น้ำอุ่นจะช่วยให้เมล็ดงอกได้เร็วขึ้น )
2. นำขวดพลาสติกมาเจาะรูด้านข้าง เพื่อไว้เป็นรูระบายน้ำ
3. นำถั่วเขียวที่แช่น้ำมาใส่ในขวดพลาสติกที่เจาะรูแล้ว หาผ้าห่อขวดไว้เพื่อรักษาความชื่น และ ไม่ให้มีแสงส่องผ่าน ( ถ้ามีแสงส่องเข้าไปถึง ถั่วงอกจะมีใบงอกออกมา)
4. รดน้ำ เช้า-เย็น ทุกวัน ประมาณ 3 วันสามารถเก็บขายได้ ถั่วเขียว 1 กิโลกรัม นำมาเพาะจะได้ถั่วงอก 7 กิโลกรัม ราคาขายกิโลกรัมละ 10 บาทเท่ากับว่า ถั่วเขียว 1 กิโลกรัม จะได้กำไร 35 บาท


2. เพาะเห็ดนางฟ้าภูฎานในบ่อปูนซีเมนต์

ต้นทุน 470 บาท
– บ่อปูนซีเมนต์ 120 บาท
– ก้อนเชื้อเห็ดนางฟ้าภูฎาน ก้อนละ 10 บาท ( 1 บ่อ เพาะได้ประมาณ 35 ก้อน เท่ากับ 350 บาท )
– ผ้าคลุม
– แผ่นไม้เก่าๆ 1 แผ่น

วิธีเพาะ
– ตะแคงบ่อปูนในแนวตั้ง หาแผ่นไม้มาวางรองเป็นฐาน
– เปิดก้อนเชื้อเห็ดโดยการแกะกระดาษและเศษต่างๆที่หุ้มตรงจุกก้อนเชื้อเห็ดออก แล้วนำก้อนเห็ดมาวางเรียงซ้อนกันขึ้นไปเป็นชั้นๆ
– รดน้ำ วิธีรดน้ำนั้นให้รดลงไปบนก้อนเชื้อเห็ด อย่าให้เข้าไปในช่องก้อนเชื้อ จากนั้นใช้ผ้าคลุมแล้วรดน้ำใส่ผ้าอีกที เพื่อรักษาความชื้นในบ่อ
– จากนั้นให้รดน้ำวันละ 3 เวลา เช้า กลางวัน เย็น ประมาณ 5-7 วัน ดอกเห็ดจะเริ่มงอก ส่วนราคาขาเห็ดนางฟ้าภูฎานอยู่ที่กิโลกรัมละ 100 – 120 บาท

3. เพาะเห็ดฟางในตะกร้า

ต้นทุนประมาณ 150 – 300 บาท

– ตะกร้า 5 ใบ ราคาใบละ 20 บาท = 100 บาท
– หัวเชื้อเห็ดฟางประมาณ 50 บาท
– ฟางข้าว ขี้เลื่อย
– ชั้นวางเก่าเหลือใช้
– ถุงพลาสติกดำ 50 บาท

วิธีเพาะ
1. นำฟางข้าวไปแช่น้ำ 1 คืน แล้วนำมาผึ่งให้แห้ง
2. จากนั้นใส่ฟางลงไปที่ก้นตะกร้า ใส่ขี้เลื่อย และ โรยเชื้อเห็ดฟางตามลงไป
3. ทำซ้ำแบบข้อ 2 จนเต็มตะกร้า แต่ชั้นบนสุดให้โรยขี้เลื่อยและหัวเชื้อให้เยอะหน่อย เห็ดจะได้ออกดอกเต็มพื้นที่
4. ครอบด้วยถุงพลาสติกดำ จากนั้นรอ 4-5 วันให้สังเกตุดูว่าจะมีละอองน้ำเกาะถุงพลาสติกอยู่แต่ถ้าไม่มีให้รดน้ำเพิ่ม
5. ประมาณ 12 วันเห็ดจะเริ่มออกดอก แล้วนับไปอีก 5 ค่อยเก็บดอก จะได้เห็ดประมาณ 2 กิโลกรัมต่อ 1 ตะกร้า
หมายเหตุ : ช่วงวันที่ 4 ถึงวันที่ 9 ห้ามเปิดถุงเด็ดขาด จะทำให้เห็ดไม่โต

4. เพาะสาระแหน่ในตะกร้า

ต้นทุน 420 บาท

– ตะกร้าพลาสติก 20 บาท
– ถาดรองสำหรับกักเก็บน้ำ 20 บาท
– หินเพอร์ไลท์ + ถาดหลุม 160 บาท ( หาซื้อได้ตามร้านขายอุปกรณ์ปลูกผักไฮโดรโปรนิกส์ ใช้ปลูกต้นไม้แทนดินได้ แต่มีคุณสมบัติดีกว่าดิน )
– ปุ๋ยน้ำ 200 บาท
– สาระแหน่จากตลาดประมาณ 2 กรัม 20 บาท



วิธีเพาะ

1. เลือกยอดอ่อนของสาระแหน่ โดยเลือกยอดที่ดูแล้วสมบูรณ์ แข็งแรง ใบไม่หลุด เพาะส่งผลต่อการเพาะปลูกให้ได้ผลผลิตดียิ่งขึ้น
2. ริดใบส่วนล่างออกให้เหลือใบเลี้ยงไว้ที่ปลายยอด 2-3 ใบ
3. เอายอดที่เตรียไว้มาปักลงในถาดหินเพอร์ไลท์ด้วยความระมัระวัง

4. นำถาดหินเพอร์ไลท์ไปใส่ลงในตะกร้า แล้วนำตะกร้าวางไว้ในถาดรองอีกที พยายามรักษาระดับน้ำให้อยู่ระดับฐานของตะกร้าตลอดเวลา คอยเติมเวลาน้ำลดน้ำที่เติมให้ผสมปุ๋ยน้ำลงไปด้วย วิธีผสมตามอัตราส่วนที่ระบุในขวด
5. ประมาณ 1 เดือนจะเริ่มแตกใบออกยอด เป็นต้นสาระแหน่สวยงามเต็มตะกร้าพร้อมให้เราได้เก็บเกี่ยว สามารถนำยอดอ่อนใหม่มาขยายเพาะซ้ำได้เรื่อยๆ

พืชผักเหล่านี้ล้วนเป็นผักสวนครัวหลักๆที่ใช้ในการประกอบอาหาร มีความต้องการของตลาดสูง คิดดูว่าถ้าเราลองปลูกด้วยต้นทุนเริ่มต้นแค่หลักร้อย ถ้าสามารถหาตลาดรองรับได้ ขายผลผลิตได้ ก็ถือว่าได้สร้างเส้นทางอาชีพ และ ช่องทางการหารายได้เสริม เผลอๆอาจจะขยับขยายจนสร้างเป็นฟาร์มขนาดใหญ่
แต่ถ้าขายไม่ได้พืชผักเหล่านี้เป็นผักสวนครัวที่ใช้ในการประกอบอาหารอยู่แล้ว เราก็ได้เอามาทำเป็นอาหารไว้ทานเองในบ้าน ประหยัดค่าใช้จ่ายในการซื้อกับข้าวไปในตัว ได้ประโยชน์ทั้งสองทางเลย
ข้อมูลเหล่านี้เป็นแค่การประเมิณคร่าวๆ ต้นทุนทั้งหมดอาจจะมากขึ้นหรือน้อยลง ขึ้นอยู่กับการจัดหาอุปกรณ์ในการปลูก

ข้อมูลและภาพจาก postnoname